ออมเคยบอกว่า อยากให้เขียนเอนทรีแนะนำการเรียนภาษาอังกฤษ เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆ คนด้วย (มั้ง) เลยถือโอกาสเขียนเลยละกันนะ (ตอนแรกอยากจะบ่น... อะไรหลายๆ อย่างที่เจอ แต่คิดว่าบ่นไป ก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้ (มั้ง) เลยคิดว่า เขียนอะไรที่มันเป็นประโยชน์ ดีกว่า ก็แล้วกัน แต่สงสัย อาจจะ มีบ่น ท้ายเอนทรี 555)
เอ่อ เริ่มจากไหนดี ถ้าถามว่าทำไมถึงเก่งภาษาอังกฤษ (เก่งในทีนี้ ก็ไม่ได้เก่งแบบรู้ทุกอย่าง แต่เก่งแค่ในระดับที่ใช้ภาษาัอังกฤษได้ดีพอสมควร ยังต้องหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา เพราะการเรียนไม่มีที่สิ้นสุดนะจ๊ะ :D ) คิดว่าอะไรจำเป็นบ้างต่อการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารให้ได้ผล
ที่จริงแล้วถ้าจะใช้ภาษาอังกฤษ เพียงเพื่อการสื่อสาร มันไม่ยากหรอก รู้คำศัพท์ที่จำเป็น และรู้ไวยากรณ์เล็กน้อย ก็สื่อสารได้แล้ว ที่จริงแล้วการพูด ง่ายกว่าการเขียนเยอะ เพราะตอนที่เราพูดเรามีหน้าตากับท่าทางเป็นตัวช่วยเยอะมาก บางทีไม่ต้องพูด ใช้ภาษามือใบ้ๆ นี่แหละ หรือยกกระดาษชี้ๆ ก็เป็นอันรู้ว่าอยากจะสื่ออะไร
แต่สำหรับคนที่อยากจะพัฒนาภาษาอังกฤษให้เก่งๆ ใช้ได้ให้ใกล้เคียงเจ้าของภาษา แบบที่ว่าฝรั่งไม่ทำหน้างงเวลาคุยกับเรา ก็ต้องมีฝึกนะฮ้า
ถ้าอยากพูดให้ได้เก่งๆ ก็ต้องฝึกพูดเยอะๆ ซึ่งวิธีที่ได้ผลจริงๆ คือมันต้องมีคนมาพูดด้วยจริงๆ อันนี้ส่วนตัวได้ฝึกตอนที่เรียนเพราะว่าทุกวิชาก็ชอบจะให้แสดงความคิดเห็น เป็นภาษาอังกฤษหมด เราเลยจะรู้จักเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ราบรื่น ถึงจะมีบางครั้งที่นึกศัพท์ไม่ออก ก็จะนึกถึงศัพท์ที่ใกล้เคียงกันพูดๆ ไปก่อน แล้วคนฟัง(อาจารย์บ้าง เพื่อนบ้าง) ก็จะช่วยคิดศัพท์ให้เราต่อว่า ไอ้ที่เราจะพูด หมายถึงแบบนี้รึเปล่า ทำให้เราจำศัพท์ได้มากขึ้นส่วนนึง
อยาก เขียนให้ได้เก่งๆ ก็ต้องฝึกเขียนเยอะๆ และในด้านการเขียน ไวยากรณ์จะมีบทบาทสำคัญมาก เพราะตัวเขียนไม่มีภาษาหน้าตาช่วยตีความหมาย ถ้าผิดก็ผิดไปเลย งงอีกต่างหาก บางทีเีขียนอะไรอ่านไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจะเขียนเก่งๆ ได้ ก็ต้องมีคลังศัพท์ และรู้จักไวยากรณ์ดีพอสมควร บวกด้วยการฝึกร้อยเรียงคำให้กลายเป็นประโยค ให้กลายเป็นย่อหน้าที่สื่อใจความให้ได้สำเร็จ
อ่ะ ก็หลักๆ ที่จะฝึกด้วยตัวเองได้ มันก็คือ (1) การศึกษาไวยากรณ์ กับ (2) การเพิ่มศัพท์ ซึ่ง สองอย่างนี้ มีพื้นฐานจากการท่องจำ เราต้องจำให้ได้ก่อน ถึงจะเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ได้ต่อไป ซึ่งเทคนิคการทำให้จำได้ ก็มีหลายอย่าง อาจจะไม่จำเป็นต้องท่องๆๆๆๆๆ เพราะมันน่าเบื่อ แล้วมันไ่ม่จำ ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กะเทคนิคแล้วก็ความขยันส่วนบุคคลล่ะ ว่าจะจำได้ยังไง เ้ค้าบอกกันว่า การเรียนที่ดีที่สุด คือเรียนโดยไม่รู้ตัวว่าเรากำลังเรียน เวลาอยากจะจำอะไรก็เหมือนกัน เอาให้จำได้โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเรากำลังจำอยู่อะ
(1) ไวยากรณ์อังกฤษ
จริงๆ แล้ว มัน สั้น โคด ไวยากรณ์อังกฤษประกอบด้วย 3 อย่าง คือ Tense (เวลา), Aspect (กระทำอย่างไร), และ Voice (ทำเองหรือถูกทำ)
Tense มี 3 อย่าง คือ = Past, Present, Future
Aspect มี 3 อย่าง คือ = Simple (ทั่วไป), Continuous (กำลังทำ), Perfect (ทำเสร็จแล้ว) (มันมีรูปที่เอาสองอันมาผสมกันคือ Continuous Perfect = ทำมาเรื่อยๆ จนเสร็จแล้ว)
Voice มี 2 อย่าง คือ = Active (ประธานทำเอง) และ Passive (ประธานถูกกระทำ)
เนี่ย หมดและ... ง่ายจะตาย (ฮา)
(เมพ.. อธิบายเสร็จใน 5 บรรทัด กร๊ากกกก)
ปัญหา ที่คนจะเจอคือ ไอ้พวกนี้ ใช้เมื่อไหร่ ยังไง ซึ่งไอ้พวกนี้ เอามาท่อง คงไม่เวิร์คเท่าไหร่(มั้ง) แต่จริงๆ มันก็... ไม่ยากนะ แปลตามความหมายข้างบนก็ใช้ได้อะ... เพียงแต่เราต้องเข้าใจลักษณะการเคลื่อนไหวของ Action และ เวลาที่มันเกิดขึ้นนั่นแหละ ถึงจะเข้าใจว่าใช้อะไร ถ้าไม่เข้าใจสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น เราก็จะเลือกใช้ไม่ถูก
ถ้าเป็นการ พูด เราก็มักจะใช้กันอยู่แค่ Simple กะ Continuous เท่านั้นแหละ (Perfect ใช้กับบางรูปที่ใ้ช้บ่อยจริงๆ ส่วนมากจะใช้กันจนชิน) Tense ก็ไม่ยาก คนไทยรู้จักเวลาอดีต ปัจจุบัน อนาคต กันใ่ช่มะละ เวลาใช้ก็นึกตามไปด้วย ใช้บ่อยๆ ก็จะผันกริยาได้ทันเอง *-*
ถ้าเป็นการเขียน ถ้าไม่รู้หลัก และอยากเขียนเก่งๆ ให้ภาษาสวย จับใจความง่าย ก็แนะนำให้ลงคอร์สเรียนเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย เรียนจริงจังจะช่วยไ้ด้มากกว่า *-*b
(2) การจำศัพท์
ประเด็นนี้ ต้องใช้ความใฝ่รู้ขวนขวายเอา ก่อนอื่นควรรู้จักศัพท์เบื้องต้นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ชีวิตการทำงาน หรืออะไรที่คิดว่าำสำคัญกับเราก่อน ที่จริงแล้วคำศัพท์ก็มีให้เรียนไปทั่ว ก่อนจะไปว่าถึงนั้น อยากจะแนะนำว่า คำหลายคำในภาษาอังกฤษ จะแบ่งเป็น Part of Speech หลายอย่างได้ (อันนี้ก็แอบเกี่ยวกะไวยากรณ์นิดนึง)
เช่น คำว่า free (adjective) = อิสระ, freely (adverb) = อย่างอิสระ, freedom (n.) = อิสรภาพ < พวกนี้มีเติมๆ suffix ข้างหลัง
หรือ hard (adjective/adverb) = (อย่าง)ยาก < ไม่เปลี่ยน, difficult (adj.) = ยาก, difficultly (adv.) = อย่างยาก, difficulty (n.) = ความยาก
จะเห็นว่าคำที่มีความหมายคล้ายๆ กัน มันยังเปลี่ยนมั่งไม่เปลี่ยนมั่ง ลักปิดลักเปิด หนทางที่จะใช้ได้ถูก คือ จำเอาลูกเดียว จะจำได้ มันก็ต้องเห็นบ่อยๆ เจอบ่อยๆ แล้วมันก็จะจำเข้าหัวเองได้อัตโนมัติ ถ้าใครขยันหน่อย สมมติไปปเจอคำว่า travel แล้วอยากรู้ว่ามันเป็นคำประเภทไหน ก็เปิดพจนานุกรมค้นต่อเอาเลย เดี๋ยวนี้ดิคออนไลน์เยอะแยะมากมาย แต่ก็เลือกอันที่เชื่อถือได้หน่อยนะ อย่าง แคมบริดจ์ อ๊อกซ์ฟอร์ด ไรงั้น ถามกูเกิ้ลก็พอได้ แต่อ่านแล้วมันต้องกรองข้อมูลอีกอะ เอาอันที่เชื่อถือได้มากดีกว่า
ปกติจะชอบใช้แคมบริดจ์ ใ้ช้ง่ายดี http://dictionary.cambridge.org/
^
มองไปข้างบน... ตกลงนี่มาบอกเทคนิค หรือจะมาสอนภาษาอังกฤษซะเองฟะ orz
หรือบางที นึกคำไทยออก อยากรู้ว่าไอ้คำนี้คือคำว่าอะไรในภาษาอังกฤษ ก็ค้นเอา ถามคนอื่นบ้างอะไรบ้าง ไม่ใช่ไม่รู้ เออ ช่างมัน งงต่อไป แล้วจะพัฒนาได้หรือ???
วิธีเพิ่มศัพท์ก็เหมือนๆ ไวยากรณ์แหละ อ่านมากสังเกตมาก อะไรๆ จากชีวิตประจำวันนั่นแหละ เมื่อไม่นานมานี้หยิบ Times (ของฟรีที่พี่จิ๊กมาให้) มาอ่าน (อ่านแต่หัวข้อนะ ไม่ไ้ด้อ่านทั้งเล่มหรอก ขี้เีกียจเกิน...) มันมีบทความนึงเขียนเกี่ยวกับช้าง มันมีประโยคนึงเขียนว่า Elephants are familial with dead body of others ประมาณนั้น (จำเป๊ะๆ ไม่ได้) เห็นแล้วสงสัยคำว่า familial อะ มันมีคำนี้ด้วยหรอวะ? รู้จักแต่คำว่า familiar ที่แปลว่า คุ้นเคย อะ มันพิมพ์ผิดหรอ? ไม่น่าใช่นะ Times เชียวนะเว้ยเห้ย! สงสัยแล้วก็เลยไปเปิดค้นดู ได้ความว่า มันมี... เป็น adjective ของคำว่า family แปลว่า รู้สึกเกี่ยวดองเป็นครอบครัว อะไรเทือกๆ งั้น
ก็อะไรแบบนั้น เห็นอะไรรอบตัวก็จำๆ ไปมั่ง อย่างไปห้าง ช็อปปิ้ง ซื้อกับข้าว ก็พลิกๆ ดูป้ายราคามันได้นะ เดี๋ยวนี้เค้าเขียนภาษาอังกฤษกันหมดล่ะ :)
อีกอย่างที่จะทำให้เรียนได้ดีคือการเป็นคนช่างสังเกตละมั้ง คิดซะว่าเหมือนเล่นเกมอะ ไม่ต้องคิดว่าจะต้องท่องๆๆๆ แต่เวลาที่เราค้นพบกฏไวยากรณ์อะไรได้ด้วยตัวเอง หรือพบความหมายคำศัพท์ได้เนี่ย มันก็ทำให้เราภูมิใจดีนะ เหมือนเล่นเกมได้ (ถึงจะไม่มีรางวัล ฮ่าๆๆ) นี่เป็นเหตุผลที่เราชอบเรียนไวยากรณ์นะ (ซึ่งมีแต่ชาวบ้านบอกว่าแปลก............)
ตัวอย่างก็ คำว่า fate กะ destiny สงสัยเปล่าว่ามันต่างกันยังไง มันก็แปลว่า โชคชะตา ชะตากรรม เหมือนๆ กันไม่ใช่หรอ ตัวอย่างที่เคยเห็นๆ มาจากในหนัง หรือที่อ่าน มันจะมีประโยคประมาณว่า
It is Frodo’s destiny to suffer death, but it will not be final.
Frodo's fate is no longer in our hands.
(Lord of the Rings)
ต่าง กันตรงไหนวะ (ฮา) คือเห็นแค่นี้มันไม่รู้อะ ถ้าเห็นเวลาที่เค้าเลือกใช้สองคำนี้บ่อยๆ มันจะเดาได้มากขึ้นเรื่อยๆ อะ สงสัย ไปเปิดดิคเพื่อความชัวร์ ดิคบอกว่า
destiny = the things that will happen in the future
fate = what happens to a particular person or thing, especially something final or negative, such as death or defeat
มันต่างกันตรงที่ปาดหนาไว้อะแหละ
คำ ทุกคำมันมีความหมายหรือการใช้แตกต่างกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้ามันเหมือนกัน 100% เค้าก็ไม่สร้างคำแยกขึ้นมาหรอก *w* เวลาที่ได้รู้ความแตกต่างเล็กๆ แบบนี้ มันก็สนุกดีนะ... (สนุกมั้ยคะ......)
ก็... อยากจะบอกว่า ถ้าชอบ คนเราก็จะใฝ่หาความรู้โดยอัตโนมัติอะนะ อย่างตอนแรกที่เรียนภาษาญี่ปุ่น จากทั้งในห้องเรียน (เรียนแค่ 2 คอร์ส แล้วเรียนแค่โรมันจิอะ) เรียนจากดูอนิเม ฟังดราม่าซีดี คือ มันก็ได้ศัพท์จริงๆ นะ (ฮา) จนเพื่อนแซวว่า ไปสอบระดับสามได้แล้วเหอะ (คืออ่านไม่ออกอะค่ะ ฟังเป็นอย่างเดียว แถมงูๆ ปลาๆ ยิ่งนัก 555) แต่ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้นะ ตอนที่ฟังภาษาญี่ปุ่นไปแล้วพยายามแยกว่า watashi, ore, boku มันใช้ต่างกันยังไงนี่ก็สนุกดีออก :) เหมือนได้เรียนวัฒนธรรมที่ต่างออกไปด้วย เปิดโลกกว้างขึ้นอะไรงั้น
wikipedia เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีแห่งนึงนะ คือถ้าเราไม่ได้เอาไปใช้ทำรายงานอ้างอิงอะไร อ่านเล่นๆ เอาความรู้ วิกิภาษาอังกฤษมันก็ให้ข้อมูลที่เที่ยงตรงดี เวลาว่างๆ ก็อ่านในวิกิเอาในเรื่องที่สนใจล่ะ ถ้ามันยากไปก็เริ่มจากที่เป็น simple English ก่อน มันก็ช่วยได้ ถ้าอันไหนมีภาษาไทยก็อ่านภาษาไทยประกอบ อย่างเราเคยสงสัยว่า americano, espresso, latte, mocha มันต่างกันยังไง ยังไปนั่งอ่านในวิกิเลย สนุกดี :D
นอกจากเรียนไวยากรณ์กะเพิ่มพูนคำศัพท์แล้ว อย่าลืมเรียนรู้วัฒนธรรมของเจ้าของภาษาเค้าด้วย เพราะว่าวัฒนธรรมมันสะท้อนอยู่ในภาษา สงสัยหน่อย ว่าทำไมเค้าถึงมีคำพูดแบบนั้นแบบนี้ อย่างที่ท่องกันมาแต่เด็ก How are you? I'm fine, thank you. And you? สงสัยมั้ยว่าทำไมเค้าต้องทักกันแบบนี้? หรือคำว่า ballet กับ buffet มีตัว t อยู่ชัดๆ แต่ทำไมมันอ่านว่า บัลเล่ย์ กะ บุฟเฟ่ต์ ฟะ? สงสัยแล้วทำตัวเป็นโคนัน ขุดคุ้ยบ้างอะไรบ้าง จะได้คำตอบ แล้วความรู้ที่ได้มาจากการค้นคว้าเอาเองน่ะ มันลืมยากกว่ามีคนมาบอกๆๆๆ นะเออ
รู้สึกเขียนๆ มาไม่ค่อยได้แชร์อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน =w= มันเรียบเรียงยากอะ พวกเทคนิคมันต้องมีตัวอย่าง แล้วยกมามันอธิบายยาว กะลืมๆ ไปแล้วด้วย... ก็ประมาณนี้ละกันอ่า
เขียนมายาวจนขี้เกียจเขียนที่อยากจะบ่นล่ะ... ข้ามละกัน